ส่งต่อรักแบบแม่ EP.02 คุณแม่แก้ว (สุดารัตน์ คูกิมิยะ)

30 กันยายน 2020 56 ครั้ง

ส่งต่อรักแบบแม่ EP.02 คุณแม่แก้ว (สุดารัตน์ คูกิมิยะ)

“แม่คุยกับเขาว่า เราต้องอยู่ให้เป็น ไม่ว่าเราจะอยู่กับใครหรือที่ไหน เราไม่ต้องไปเสาะแสวงหาว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน เราแค่อยู่ให้เป็นกับสิ่งที่เราได้โอกาส สิ่งที่เราได้เจอ สังเกตเป็นเหตุให้เกิดผล สงสัยเป็นเหตุให้เกิดปัญหาไม่จบสิ้น” ติดตามการเพียรปลูกฝังเรื่องความดีงามให้แก่ลูกของ "แม่แก้ว สุดารัตน์ คูกิมิยะ" (คุณแม่ของณเดชน์ คูกิมิยะ) ได้ใน ส่งต่อรักแบบแม่ EP.02

 

คุณแม่แก้ว: ก่อนนอน แม่ก็จะมีเรื่องที่สำคัญต่อน้องมาก ๆ ก็คือการเล่านิทานในความมืด 5 นาที ปิดไฟเล่านิทาน จะเล่าอะไรที่ตัวเองแต่งก็ได้ จินตนาการที่ตัวเองแต่งก็ได้ เปลี่ยนกันเล่า มี 3 คน เพราะปะป๊าอยู่กรุงเทพฯ แม่พาน้องไปอยู่ขอนแก่นเพราะโรคหอบต้องอยู่ที่อากาศดี แม่ พี่บี๊ท พี่แบรี่ สลับกันเล่า ถึงตาใครก็เล่า พี่บี๊ทก็จะเล่าเรื่องผีตานี รู้ว่าน้องกลัว ความเป็นพี่นะก็แกล้งน้อง ผีตานีทั้งชาติ (หัวเราะ) 

 

เพราะการเล่านิทานในความมืด แม่คิดว่าความมืดทำให้เราอยู่กับตัว จิตเราจะอยู่กับตัวมากกว่าความสว่าง เพราะความสว่างมันกว้าง จิตเราจะลอยออกไปข้างนอกเยอะมาก แต่พอมืดปุ๊ปเราจะรักตัวเอง เราจะเริ่มเข้าหาตัวเอง 100% เพราะฉะนั้นจิต สติเราก็อยู่กับตัว แค่ 5 นาทีนะคะ ไม่เกิน เพราะว่าต้องรีบนอนก่อน 2 ทุ่ม เวลาจะเป๊ะ ทุกคนจะต้องเตรียมตัวแล้วจะมีสมาธิในการเล่า มีสมาธิในการจินตนาการเรื่องที่แต่งเอง และมีสมาธิในการเล่าเรื่องที่รู้มา เช่น ผีตานี บางทีก็เอามาจากหนัง จากละคร บางทีก็เอามาจากเรื่องเล่าของครูบาอาจารย์ที่เล่ามา ก็มาเล่าสู่กันฟัง น้องก็ขดตัวเข้ามากอดแน่นเลย แต่เรื่องของน้องเขาก็มีตำนานในส่วนของเขานะ ก็เล่าเรื่องแม่มดกับไม้กายสิทธิ์ เขาเริ่มเล่ามาตั้งแต่น่าจะ 3 ขวบ

 

Host: เขาได้มาจากการ์ตูน หนัง หรือว่าอะไรคะ

 

คุณแม่แก้ว: จากหนังสือภาษาอังกฤษที่เป็นนิทานศัพท์ภาษาอังกฤษ แม่เปิดให้เขาดูตอนเช้าเพราะครูก็หายาก เวลามาศูนย์หนังสือแม่ก็จะพาเขามาดู มาเลือกซื้อหนังสือ แล้วก็มีเทปให้ด้วย เขาก็จะอ่านแล้วก็ฟังไป เขาก็พูดได้ด้วย เขาก็จะมีอินเนอร์ข้างในซึ่งก็เอามาจากการ์ตูนเหล่านั้นมาแต่งเป็นแบบของเขาเอง ก็อ้าวแม่มดไม่เหมือนแบบที่แม่เคยรู้มา เขาก็หัวเราะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า แม่มดของแบรี่อาจจะขี่ไม้กวาดนะแม่ หรือไม้กระบองลูกเสือ ถือมีดดาบบ้าง มีดดาบของเด็ก ก็จะเปลี่ยนการขี่ไปเรื่อย จนกระทั่งแม่เลิกเล่าตอนเขาจบม.3

 

Host: เล่าจนถึงม.3 เลยหรือคะ เป็นหนุ่มแล้วนะนั่น

 

คุณแม่แก้ว: มันสนุกนะคะ แต่นอกจากเวลาที่ไปทัศนศึกษา สังสรรค์บ้านเพื่อน ไปทำกิจกรรมอย่างอื่นที่มันเลยเวลาหน่อยก็จะไม่ได้เล่า เวลาอยู่บ้านเราก็เล่ากันปกติ มันเป็นความสุขเล็ก ๆ ในครอบครัวเราค่ะ ถ้าไม่ได้ทำมันก็จะขาด เวลาเล่าเรื่องตื่นเต้นเราก็จะกอดกัน 3 คน แม่ก็จะแกล้งกลัวไง มือลูกอยู่ไหน มือลูกอยู่ไหน ก็แกล้งให้ลูกกอด (หัวเราะ) แม่ก็ร้อง มือลูกอยู่ไหน ไม่เห็นมือลูกเลย แล้วแม่ก็แกล้งจับเท้าเพราะแม่มือเย็นไง เขาก็ร้องกรี๊ดกัน บางทีแม่ขี้เกียจเล่าก็จะแกล้งจับ ใครโดนจับจะต้องรีบนอนนะ (หัวเราะ)

 

Host: หือ ขี้อ้อนนะเนี่ย (หัวเราะ)

 

คุณแม่แก้ว: แม่ก็จะมีอะไรเชิงตลก ๆ มากกว่าให้มันเบา ๆ ก็เลยทำให้แบรี่มีอารมณ์ขัน ร่าเริง ในเวลาดุก็มีแต่เขาจะไม่รอให้ดุค่ะ เขาจะรู้ตัวแล้วมาคุกเข่าเลย

 

Host: เพราะเขาถูกฝึกมาตั้งแต่เด็ก

 

คุณแม่แก้ว: ใช่ค่ะ แบรี่มีเรื่องจะสารภาพอีกแล้วครับ แต่ไม่แรง อันนี้ไม่แรง อันนี้ไม่หนักอะไรอย่างนี้ ก็สนุกดี ก็ชอบนะ

 

Host: ชอบมาก มันมีคำว่าความรักที่คุณแม่พูด ก็เลยอยากจะถามในมุมมองคุณแม่ว่า ความรักที่คุณแม่พูดว่ามันเป็นพลังงานมันสำคัญ มันเป็นยังไง

 

คุณแม่แก้ว: ความรักที่คนทั้งโลกแสวงหานี่นะ นอกจากจะแสวงหาจากตัวเราเองแล้ว ยังแสวงหาจากคนรอบข้าง คนรอบข้างในที่นี้หมายถึงจุดเริ่มของเราคือคนในครอบครัว บางทีอาจจะน้อยเนื้อต่ำใจว่าพ่อแม่รักไม่เท่ากัน จริง ๆ รักเท่ากันแต่รักต่างกัน คนที่อิ่มแล้ว คนที่มีความรักเต็มก็จะไม่มีปัญหา ก็จะเบาหน่อย เพราะยังไงก็แข็งแรง ถึงห่างยังไงก็ยังใส่ใจกับแม่เหมือนเดิม คือจิตใจแข็งแรง แต่คนที่อ่อนแอหรือไม่เป็นโล้เป็นพาย หรือคนที่กล้า ๆ กลัว ๆ คนที่ไม่กล้าอะไร พ่อแม่จะรักและห่วง แต่ลูกอาจจะไม่เข้าใจ แต่พ่อแม่ก็ไม่รู้จะทำอะไรที่ดีไปกว่าความใส่ใจ ถ้าไม่ทำก็จะไม่ดีมากกว่านี้ ทำให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ 

 

แต่พอพูด ๆ ลูก ๆ หลายคนพูดอะไรอย่างนี้ มันก็เหมือนไปซ้ำเติม ซึ่งเราก็น่าจะมาหล่อหลอมเขา ให้เขาเปลี่ยนแนวทางเรื่องที่จะมารักให้เข้าใจ  เพราะพ่อแม่รักเราไม่ใช่ตามใจเรานะ มันต่างกัน แต่พ่อแม่รักเราเพราะไม่เหมือนใคร ๆ ไม่ได้รักลูกเพราะจะต้องเอาใจลูก ไม่อย่างนั้นเขาจะหลง เขาจะได้ใจ ต้องเป็นเหตุผลที่ค่อย ๆ พูด แต่แม่ทำดีที่สุดในส่วนที่เหมาะสม ถ้าแม่ไม่ได้ให้ลูก ลูกก็จะไปขอจากคนอื่น ลูกจะไปขโมยคนอื่น หรือลูกจะไปทำอย่างอื่นที่ลูกได้มา แม่ให้ลูกเองไม่ดีกว่าหรือ

 

ในครอบครัวหนึ่งก็ต้องมีสักหนึ่งคนที่รู้สึกว่าโอกาสน้อยแต่ความรักไม่ได้ด้อยกว่าใครเลย ได้รับความรักมากกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ เพียงแต่เขาขาดความเข้าใจ เขาไม่เข้าใจกับสิ่งที่เขาได้รับ เขาอาจจะคิดว่าที่เขาได้รับ แม่รักเขาแล้วแม่ต้องให้เขาตลอด เขาเอาจากใครไม่ได้แล้ว จนเกิดความเคยชิน อันนี้ไม่ได้ว่าใครหรือพาดพิงถึงใครนะคะ แต่พูดในแง่ของความเป็นจริงของครอบครัวที่มันน่าจะเกิดได้ เพราะมันมีเพื่อนหลายคนที่มาคุยให้ฟังว่าจะทำอย่างไร แล้วแม่ก็จะชี้แนวทางในเรื่องของความเข้าใจมากกว่า

 

Host: จริง ๆ แล้วแม่ต้องเข้าใจลูกจริง ๆ นะ ถึงจะรู้ได้ว่าลูกคนไหนควรได้รับแค่ไหน เหมาะสมแค่ไหน

 

คุณแม่แก้ว: และลูกในทางกลับกันก็ต้องเข้าใจแม่ด้วย เพราะแม่มีลูกหลายคน คนเราก็ไม่ใช่ว่าดีด้านเดียวก็เหมือนเหรียญมี 2 ด้านที่หล่อหลอมออกมา แต่ละด้านเหมือนกัน แต่รูปแบบอาจจะต่างกัน คุณค่าก็เหมือนกัน ความต่างกันอยู่ที่เรามองต่างหาก เหรียญถ้ามันไม่เหมือนกันเขาก็เอาไปหลอมใหม่ คนทำเหรียญไม่ว่าจะเหรียญอะไรต้องมีความเที่ยงธรรมในจิต ไม่งั้นหล่อเหรียญออกมาไม่ได้เสมอกัน

 

Host: แม่พูดเหมือนว่าคนเป็นแม่ก็ต้องมีความเที่ยงธรรมกับลูก ๆ

 

คุณแม่แก้ว: ใช่ มันต้องมี แต่ว่าการแสดงออกอาจจะไม่เหมือนกัน แต่ข้างในเหมือนกัน

 

Host: เพราะลูกยังไม่เหมือนกันเลย จริตลูกแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน แล้วแม่เห็นได้อย่างไร สังเกตอย่างไรว่าคนนี้น้อยใจหรืออะไรยังไง

 

คุณแม่แก้ว: สังเกตจากการแสดงออก เช่น เวลาเราซื้อของให้ไปเลือกกัน สมมุติว่าพี่บี๊ทโตแล้วซื้อให้แบบนี้...อืมแบรี่ก็อยากได้บ้างแต่ก็ยิ้ม ๆ แหยะ ๆ แต่ไม่เครียดนะ แม่บอกว่าอยากโตไวเท่าพี่ใช่ไหมละ ถ้านั้นอยากโตไวต้องทานอาหารเยอะ ๆ ทานนมเยอะ ๆ ทานวิตามิน ที่แม่จัดให้อะทานเยอะ ๆ จะได้โตทันพี่เขา ใช่ไหมพี่บี๊ท...พี่บี๊ทบอก      “แม่นแล่ว” (หัวเราะ) แม่ก็บอกพี่บี๊ทได้ทีเลยนะ อันนี้ก็เป็นเรื่องแบบว่าแหย่กันแต่ก็ไม่ได้จริงจัง แค่อยากโตเหมือนพี่ เด็กทุกคนจะเป็น อยากตัวสูงเหมือนพี่ อยากมีอะไรที่เหมือน ๆ กัน

 

ให้ได้เหมือนกันเสมอกัน แต่ให้ต่างกัน แม่ก็จะคุยว่า พี่บี๊ทเขาเรียนมากกว่าหนู เขาโตกว่าหนู 3 ปี เพราะฉะนั้นความคิดความอ่าน สรีระร่างกายเขาต้องก้าวหน้าไป ความแตกต่างก็มากกว่าลูกนะ แม่จะอธิบายให้เขาเข้าใจ เขาก็จะพูดว่า “อ่อ ๆ ใช่ ๆ พี่บี๊ทไม่ใช่รุ่นเดียวกัน” อันนี้ห้ามนะ เขาก็บอก “ได้ครับ” ก็จบ ไม่ได้มีเรื่องอะไร มันเป็นเรื่องเล็ก ๆ ไง แต่ถ้าเราปล่อยไม่เคลียร์ เขาก็จะเก็บ เพราะว่าพี่น้อง คนที่โตกว่าย่อมถูกการเอาใจหรือได้โอกาสมากกว่า เป็นลูกคนแรกไง แล้วคนเล็กอาจจะเอาแต่ใจ เพราะมีคนเอาแต่โอ๋ พี่ แม่ พ่อก็โอ๋ ก็เลยไม่ค่อยแข็งแรง อันนี้ไม่ได้ว่าใครนะคะขออภัย แต่พูดถึงในครอบครัวของเราเอง เพราะฉะนั้นมันมีอะไรให้เราคิดตลอดเวลา

 

ตาเห็นรูป ดีไม่ดี เราเห็น เราสัมผัสได้ เราแอคชั่น เราทำอะไร ไม่ว่าจะการกิน การเดิน แม้แต่ลูกแม่เนี่ย ตอนที่ยังเล็ก ๆ อยู่ เวลาไปทัศนศึกษาแค่ป.2 ป.3 นะ เขาจะสังเกตว่าแม่ชอบอะไร แม่เกิดปีไหน แม่มีอะไรที่เป็นเอกลักษณ์ของแม่ เขาซื้อปากกาที่เป็นหัวเสือมาให้แม่ น่ารักมาก เพราะแม่เกิดปีเสือ ซื้อแก้วน้ำที่เป็นลายเสือน่ารัก ๆ แม่ชอบนกฮูก เวลาที่เขาไปต่างประเทศไปเจอเข็มกลัดนกฮูกก็จะซื้อมาฝาก

 

Host: เขาคิดถึงเนอะ มันต้องถูกปลูกฝังนะนิสัยแบบนี้ เขานึกถึงผู้อื่น

 

คุณแม่แก้ว: ค่ะ นึกถึงผู้อื่น อะไรที่คนข้างกายเราก็ต้องสังเกตกัน  สังเกตว่าคนนี้ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ใส่ใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เขาจะใส่ใจ เขาจำได้ว่า แม่ชอบทานอาหารแบบนี้ ๆ เขาก็จะซื้อมาฝาก

 

Host: แม่มองว่าเป็นที่ตัวเขาเอง เป็นที่การปลูกฝังหรือเป็นที่นิสัยของป๊าด้วย

 

คุณแม่แก้ว: แม่คิดว่าคนเราตบมือข้างเดียวไม่ดัง เพราะฉะนั้นในส่วนที่เขาได้มา ในส่วนที่เป็นตัวเอง แม่คิดว่ามันเป็นส่วนหนึ่ง แล้วส่วนที่เขามีประสบการณ์ที่ได้ยิน ได้ฟัง ได้เห็น ได้ถูกพาทำ ก็จะดำเนินไป เขาอาจจะเก็บในสิ่งที่ดี อันไหนไม่ดีไม่เก็บ อันไหนไม่ดีไม่ทำ แม่ให้กิจกรรมแค่ 2 อย่างเอง  “ถ้าคิดดี ทำดี พูดก็ต้องดี ถ้าคิดไม่ดี ก็ไม่ต้องทำเลย” แม่จะได้ไม่เหนื่อย ขี้เกียจสอน ก็พูดแค่นี้

 

Host: ในวัยเด็กมีความทรงจำอะไรที่น่ารักที่ประทับใจอยู่บ้างไหมคะ เล่าให้ฟังหน่อย

 

คุณแม่แก้ว: โอ้ รู้สึกมากมายนะของลูกแบรี่เนี่ย เขาเป็นคนเซนต์ซิทีฟในเรื่องของความเมตตา ในเรื่องที่เห็นว่าเราอ่อนแอเนี่ย เขาจะไม่ได้เลย เห็นหน้าเราทำงานเหนื่อย ไม่ได้เลย เขาจะมากอด มาหอมแม่หน่อย เอาน้ำมาให้ดื่มก่อน เขาใส่ใจ แม่กินน้ำก่อน ๆ เรื่องเล็ก ๆ อะ แต่ถ้าเรื่องใหญ่ก็เวลาที่แม่เจ็บป่วยไม่สบาย เป็นไข้หวัด เป็นโน่นนี่ เขาก็จะจัดยา เอาผ้ามาเช็ดตัวให้ เขาบอก “แม่ไม่ต้องกลัวนะ แบรี่อยู่” ก็กอดหอม นวด เขานวดเก่ง

 

Host: ดูเขาเอาใจแม่เก่งด้วยนะ

 

คุณแม่แก้ว: ใช่ เขาเป็นคนใส่ใจในเรื่องคนข้าง ๆ อันนี้พูดจริง ๆ เพื่อนแม่เนี่ยรักมาก ชอบมาก เพื่อนแม่เป็นดีเจวิทยุก็จะทานข้าวด้วยกันบ่อย ก็พาเขาไป เพื่อนแม่ชื่อตึ๋ง เขาก็บอกว่า “ป้าตึ๋ง ๆ ครับ ขอแสดงความคิดเห็นนิดนึงนะครับ ป้าตึ๋งใบหน้าอย่างนี้ ป้าตึ๋งต้องเปลี่ยนลิปสติกนะครับ”

 

Host: โอ้โห...ลงรายละเอียดมาเลยนะ

 

คุณแม่แก้ว: สีอะไรละพ่อ ป้าตึ๋งเขาเรียกตามแม่แก้ว เพราะที่บ้านคุณยายมีแต่ลูกสาว พอลูกออกมาเป็นผู้ชายก็เลยเรียกพ่อ เขาก็บอกว่า “สีออกส้ม ๆ เพราะป้าตึ๋งผิวสีออกคล้ำ ๆ” ป้าตึ๋งบอกอื้อหือรักลูกมากเลย ป้าตึ๋งก็เปลี่ยนตั้งแต่นั้นมา แก้มก็เป็นสีโอลโรสออกส้มเหมือนกัน ก็ดูสว่างขึ้น

 

Host: เป็นเด็กผู้ชายที่ลงรายละเอียดมาก เขาก็เข้าใจเลือกนะ

 

คุณแม่แก้ว: อันนี้เป็นเรื่องเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้ตัวที่แม่เห็นนะ  อีกเรื่องหนึ่ง เช่น การเดิน การใส่เสื้อผ้า แบบนี้ลุคจะต้องยังไง เขาก็จะพูดจะบอก ถ้าเป็นคนที่คุ้นเคยกัน เขาจะช่วยดูให้ แล้วก็ประทับใจเรื่องการพับผ้า การเก็บของ เขาจะเก็บของอย่างมีระเบียบ ผ้าเช็ดหน้า ถุงเท้า รองเท้า เขาจะมีเป็นเซ็ต ชุดสีขาว ชุดนักเรียน ผูกเนคไทด์ เพราะเขาย้ายจากโรงเรียนมหาไถ่ชายตอนป.5 อยากเรียนโรงเรียนฝรั่งแล้วเพราะพูดได้แล้ว ดูวิดีโอ แล้วแม่ก็จ้างครูฝรั่งที่มหาวิทยาลัยให้ไปเรียนกับครู ก็ย้ายโรงเรียนไปสอบได้ พอม.5 ก็เข้าวงการ

 

ความประทับใจคือลูกเป็นผู้นำตนได้ดี พอลูกทำงานเข้าวงการใหม่ ๆ ลูกไม่เคยนั่งรถทัวร์ ตอนแรกก็นั่งเครื่องบิน ทางโน้นเขาออกให้ บินไปบินมา แต่พอไม่มีค่าใช้จ่าย แม่ก็เลยว่าจะออกให้ลูกเอง เขาก็ไม่เอา ๆ ครับ เก็บเงินไว้เลยแม่ แม่ก็บอกว่าให้เก็บไว้ให้ตัวเองใช่ไหมละ ก็หัวเราะแฮ่ ๆ แล้วเขาก็บอกว่า “แบรี่นั่งรถทัวร์ดีกว่า นั่งรถทัวร์เย็นวันศุกร์ กลับมาเช้าวันจันทร์” โอ้ยแม่สงสารลูกจังเลย เขาบอก “ไม่ต้องสงสารครับ แบรี่ทำได้” กลัวลูกปวดหลัง มันนอนไม่ดีนะพ่อ นั่งเครื่องบินแป๊บเดียวเอง “ไม่ต้อง ๆ แบรี่อยากทำ ให้แบรี่ทำเถอะครับ” เขาขอแม่

 

Host: น่ารักเนอะ ไม่ยอมให้แม่ลำบาก

 

คุณแม่แก้ว: อันนี้แม่เก็บไว้ในใจเป็นความภูมิใจ เป็นการพึ่งตนเอง (จะร้องไห้) แล้วก็รายได้ครั้งแรก 4,000 บาท แม่ก็บอกว่า ลูกอยากเอาไปทำอะไร เขาบอกว่า “แบรี่อยากทำบุญ” ก็บอกพี่เอ ว่าขอไม่รับ ทำงานให้ศูนย์ศิลปาชีพ แต่ท่านให้ ท่านบอกว่าไม่ได้ต้องรับ ก็เป็นเงินก้อนแรกที่เขาเอาไปเก็บในบัญชี แม่ก็จำไม่ลืม แม่มีความรู้สึกว่าเขาใช้ชีวิตเป็น ที่มีประสบการณ์มาตั้งแต่เด็กคือเขาคิดได้ด้วยตัวเขาเองที่อยากจะทำเพื่อให้แม่เก็บเงิน แล้วเขาก็อยากเสียสละในส่วนที่เป็นค่าใช้จ่าย อันนี้แม่ก็ประทับใจลูกมากที่สุด ลูกแม่ก็ทำได้แล้ว

 

ตอนไปส่งลูกขึ้นรถทัวร์ กอดลูกแน่นเลย กอดทั้งน้ำตานะ เขาบอก “แม่ ไม่ต้องร้อง แบรี่ไม่ได้เป็นอะไร” แม่ร้องเพราะดีใจว่าประสบการณ์ของลูกครั้งแรก แม่ขอร้องนะอย่าห้ามแม่ เหมือนที่แม่ไม่ห้ามลูก แม่มีความสุขในการร้อง แต่พอไปรับก็ร้องอีก ไปรับก็ตื่นเต้น ลูกโทรมาตอนตี 4 บอกแม่ว่าอีกหนึ่งชั่วโมงจะตี 5 แม่ก็ตกใจยังไม่นอนหรือพ่อ แม่จะไม่นอนต้องให้ลูกโทรหาเป็นระยะ ๆ รถทัวร์ออกจากหมอชิตประมาณ 4 ทุ่ม พอถึงสระบุรีให้โทรหาแม่ แม่จะไม่นอนเลย ก็สวดมนต์ไป พอถึงสระบุรีเขาก็โทรมา “หระรีเลี้ยวซ้ายแล้วแม่” พ่อเทคแคร์นะพ่อนะ เขาก็บอกกระซิบ ๆ “พูดดังไม่ได้เขานอน คนอื่นเขาหลับแล้ว” ก็บอกเขาพอใกล้จะถึงก็โทรบอกนะครับ

 

พอมาถึงเห็นลูกแล้วรู้สึกลูกเป็นเทวดาของแม่เลย เทวดาของแม่กลับมาแล้ว มันชื่นใจมากเลย พร้อมยื่นซองเงินให้แม่ 4,000 ในช่วงนั้นก็ดีใจ ลูกก็เหมือนจะน้ำตาไหลแหละเพราะว่านั่นคือครั้งแรกของเขาที่หาเงินได้แล้ว “แม่ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกลัวนะ ทำงานหาเงินได้แล้ว” ตอนนั้นแม่ก็มีทำอพาร์ตเมนต์ ทำบริษัทอยู่ด้วย เขาก็บอก “ไม่ต้องห่วงแบรี่เลยนะครับ” แล้วก็เล่าให้ฟังเรื่องที่ไปทำงานมา แม่ก็ชื่นใจมาก มีความสุขมาก แม่จำได้ติดตาติดใจตราตรึงใจตลอดเลย ก็มีความประทับใจหลากหลายมาก สิ่งที่ดี ๆ ก็มีเยอะ แต่เรื่องนี้คือประทับใจที่ลูกตนเป็นที่พึ่งแห่งตนได้แล้ว 

 

แม่ก็พูดคำนี้แหละกับเขา แม่ก็บอกว่าสิ่งนี้แหละที่พระพุทธเจ้าสอนหนูก็ทำได้แล้ว แต่แม่ก็ห่วงเรื่องสุขภาพและความปลอดภัยอย่างอื่น เพราะว่าชีวิตเราก้าวแค่นี้ มันยังต้องก้าวลึกเข้าไป เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นดูแลตัวเองให้ดี “ครับ”

 

Host: ตอนนี้แม่เป็นห่วงอะไรแบรี่บ้างคะ

 

คุณแม่แก้ว: เป็นห่วงสุขภาพ เพราะว่าโรคหอบไม่หายขาดแต่ทุเลาได้ ไม่ว่าอากาศร้อนชื้น หรือคนแออัด สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เพราะว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดเวลาสระผมต้องเป่าให้แห้งออกจากห้องน้ำ เข้าไปในห้องแอร์เปียก ๆ ไม่ได้ น้องจะเป็นทันที บางทีงานเยอะแล้วลืม สระผมเสร็จแล้วเข้าเลยคิดว่าตัวเองแข็งแรงแล้ว จริง ๆ มันเกิดขึ้นได้หมด ต้องไม่ประมาท คำนี้ถูกต้อง

 

แม่คุยกับเขาว่า เราต้องอยู่ให้เป็น ไม่ว่าเราจะอยู่กับใครหรือที่ไหน เราไม่ต้องไปเสาะแสวงหาว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน เราแค่อยู่ให้เป็นกับสิ่งที่เราได้โอกาส สิ่งที่เราได้เจอ สังเกตเป็นเหตุให้เกิดผล สงสัยเป็นเหตุให้เกิดปัญหาไม่จบสิ้น เพราะนักวิทยาศาสตร์มีแต่สังเกต ทดลอง นักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ นักปรัชญาทั้งหลายเขาสังเกตทั้งนั้น ไม่ได้สงสัย

 

Host: ถ้าแค่สงสัยมันไม่ได้หาคำตอบ ถ้าสังเกตมันจะเข้าไปสู่การทดลอง

 

คุณแม่แก้ว: ใช่ สังเกตแล้วทดลองหาความจริง สังเกตคือความจริงล้วน ๆ และสงสัยคือไม่จริง มันเป็นความคิดของเรา แล้วคนที่ตอบก็ไม่จริงเพราะพิสูจน์ไม่ได้ เพราะมันเป็นความคิดอีก แล้วก็มีแต่จะสร้างปัญหาให้เราไปเรื่อย ๆ

 

 

 

 

 

 

 

 

ผู้ดำเนินรายการ:  คุณแม่แก้ว สุดารัตน์ คูกิมิยะ / สุรางคณา สุนทรพนาเวศ

บรรณาธิการ:  นันทิญา จิตตโสภาวดี

กองบรรณาธิการ: นมิดา แพ่งสภา, ปัณณธร ใสแสง, รุจา สุขพัฒน์, นีรชา คัมภิรานนท์, สุสมา สุขพัฒน์

ศิลปกรรม:  ฐานิสร์  ริ้วสุวรรณ, เอกชัย เธียรสรรชัย
นักออกแบบเสียง:  ธัญธนวรัท  ชนกชัด

ฝ่ายผลิต: ชลธิศ กรดี

ที่ปรึกษา:  วันชัย  บุญประชา, ดร.สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน

สนับสนุนโดย  สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

 

 

 

OTHER