ส่งต่อรักแบบแม่ EP.01 คุณแม่แก้ว (สุดารัตน์ คูกิมิยะ)

29 กันยายน 2020 98 ครั้ง

ส่งต่อรักแบบแม่ EP.01 คุณแม่แก้ว (สุดารัตน์ คูกิมิยะ)

“สิ่งที่เขาอยากแสดงออก อยากจะมีกิจกรรมในส่วนที่เป็นความคิดของเขา แม่จะให้อิสระทันที แต่ในส่วนที่อยู่ในกรอบ ทุกคนในครอบครัวก็ต้องมีข้อห้าม มีกฎเหล็กในการปฏิบัติเพื่อที่จะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข” ติดตามการเพียรปลูกฝังเรื่องความดีงามให้แก่ลูกของ "แม่แก้ว สุดารัตน์ คูกิมิยะ" (คุณแม่ของณเดชน์ คูกิมิยะ) ได้ใน ส่งต่อรักแบบแม่ EP.01

 

 

Host: สวัสดีค่ะ วันนี้เราก็จะมาพูดคุยกันกับคุณแม่คนเก่ง คุณแม่คนดีของน้องณเดชน์ คูกิมิยะ นะคะ ถ้าใครรักน้องแบรี่ของเรา เรามาดูกันค่ะว่าทำไมน้องถึงได้เป็นเด็กดีและเป็นที่รักของทุกคน ตาเชื่อว่าเคล็ดลับอยู่ที่คุณแม่ค่ะ และวันนี้เราโชคดีมากเลยที่คุณแม่แก้วจะมาเผยเคล็ดลับในการเลี้ยงลูก การให้ความรักกับลูกนะคะ ขอบคุณคุณแม่ที่ให้โอกาสในวันนี้ค่ะ

 

สวัสดีค่ะแม่แก้ว วันนี้ต้องมาเล่นให้ฟังให้หมดเลยนะ

 

คุณแม่แก้ว: ยินดีค่ะ

 

Host: เอาง่าย ๆ เลยค่ะ ถ้าพูดถึงความรักที่แม่มีต่อแบรี่ แม่รู้สึกยังไงบ้างคะ

 

คุณแม่แก้ว: ยังเหมือนเดิมค่ะ เป็นความรักความผูกพันของพ่อแม่ทุกคนที่มีต่อลูกและลูกทุกคนที่มีต่อพ่อแม่ ความรู้สึกนี้มันน่าจะไม่แตกต่างกัน แต่เราจะมีความรักหรือการให้ไม่เหมือนกัน ได้รับไม่เหมือนกัน แต่จริง ๆ คืออันเดียวกัน ไม่ว่าจะเกิดอารมณ์ไหนก็ยังรัก ไม่ว่าเราจะได้รับอารมณ์ไหนจากลูก หรือลูกได้รับอารมณ์ไหนจากแม่ ยังไงนั่นแหละก็คือความรัก

 

Host: เป็นสายใยความผูกพัน 

 

คุณแม่แก้ว: เป็นสายใยความผูกพัน อารมณ์อย่างนู้น อะ...รู้สึกว่าเบาไป หรืออารมณ์นั้นรู้สึกว่าหนักไป ก็ทำให้มันพอดี ด้วยความรักความอบอุ่นมากกว่าเดิมอีก มันจะได้รับสิ่งเหล่านั้นมากกว่าเดิมในสิ่งที่เราสัมผัสมา เรารักในทุกอย่างที่เป็นเขา รักทุกลมหายใจที่เรามีให้กัน ที่เราได้อยู่ร่วมกันแม่ลูก 

 

“ไม่ว่าแม่จะบอกลูกว่าไปซ้ายแต่ลูกบอกว่าขวาได้ไหมแม่ อะงั้นลูกบอกมาซิว่าขวายังไง ถ้าลูกบอกว่าอย่างนี้ อะได้เลย แม่ขอเป็นผู้ตามวันนี้” บางทีในสิ่งที่หัวข้อที่เขาให้มามันรู้สึกว่ามันเป็นตัวตนของลูกนะซึ่งไม่ได้ผิด เป็นสิ่งที่เขาอยากจะแสดงออกหรืออยากทำให้เราดู หรืออยากจะมีกิจกรรมในส่วนที่เป็นความคิดของเขา แม่จะให้ทันที

 

Host: แม่ให้อิสระ

 

คุณแม่แก้ว: แม่ให้อิสระทันที แต่ในส่วนที่อยู่ในกรอบ แม่ถือว่าเป็นกฎเหล็ก เพราะว่าทุกคนในครอบครัวก็ต้องมีข้อห้าม มีกฎเหล็กในการปฎิบัติเพื่อจะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข หรือแม่อาจจะได้พูดน้อยหน่อย ลูกอาจจะไม่ดื้อมากหน่อย อะไรอย่างนี้

 

เด็กดื้อแม่ชอบ แม่ชอบเด็กดื้อ เด็กกล้าแสดงออก กล้ายอมรับความจริงว่าผิดถูกชัดเจน ไม่โกหก เพราะแม่คุยกับลูกอยู่เสมอเมื่อตอนที่เขารู้ความแล้ว แม่ก็จะบอกว่า คนเรานี้ไม่ว่าจะชีวิตไหน ๆ ก็ต้องอยู่กับธรรมชาติ ไม่ว่าจะการเกิดของเรา เราก็ต้องได้รับการเกิดโดยธรรมชาติ เราเกิดมาตัวเปล่าไม่ใส่เสื้อผ้าเลย ไม่มีอะไรเลย และมีอะไรที่เหมือนกัน มีเสียงหัวเราะ ร้องไห้เหมือนกันเป็นธรรมชาติ แล้วยัดเยียดความทุกข์ให้ ไม่ร้องก็ต้องตีให้ร้อง ไม่ร้องก็ต้องเอาหัวคว่ำลงไปแล้วก็ตบ ๆ ให้ร้อง

 

Host: ใช่เพราะเดี๋ยวไม่รู้ว่ามีชีวิตหรือเปล่า 

 

คุณแม่แก้ว: การเปล่งร้องนั่นแหละคือการเริ่มต้นของลมหายใจที่ให้ปอดขยายเพื่อให้เด็กมีลมหายใจเข้าไปลึก ๆ ให้เด็กหายใจเข้าไปลึก ๆ ให้ได้ใช้ปอดให้เกิดประโยชน์

 

Host: อุแว้ ๆ ฮ่า ๆ ๆ

 

คุณแม่แก้ว: ใช่ นั่นแหละคือการเปล่งเสียงหัวเราะในคนทั้งโลก ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮือ ฮือ ฮือ มันก็เป็นเสียงเดียวกัน ทั้งหัวเราะร้องไห้มันเหมือนกัน และอีกข้อหนึ่งสำคัญที่สุดคือ มีลมหายใจเหมือนกัน ไม่มีใครไม่มีลมหายใจ จะจนจะรวย ไม่สมบูรณ์ไม่ครบ แต่เขาก็ต้องมีลมหายใจ มีรูจมูกที่มีลมหายใจเสมอกัน ไม่มีมากน้อย มากน้อยคืออวัยวะของปอดที่จะรับได้ แต่ปริมาณในเรื่องการสูดลมหายใจที่ไร้ความรู้สึก เหมือนเราสูดลมเข้าไปแล้วเราไม่รู้ว่านี่คือลมหายใจที่เราสูดเข้าไปทุกวัน ทุกวินาทีไม่มีวันหยุด นอนก็ต้องหายใจ คิดว่าลมหายใจคือทุกคนได้เท่าเทียมกัน ความดีความไม่ดีติดตัวมาเหมือนกัน แต่จะมาน้อยต่างกันและนำมาใช้ต่างกัน

 

Host: ยังไงบ้างคะแม่ ต่างกัน ไม่ต่างกัน

 

คุณแม่แก้ว: แม่คิดว่าความไม่ดีไม่ต้องมีคนสอน มันเป็นธรรมชาติ มันอยู่ในจิต เพราะฉะนั้นสิ่งดีคือเราก็ต้องแสวงเอาเอง โดยที่เราจะต้องสอน สิ่งที่ดีที่เกิดเองมันเกิดจากภูมิเดิมที่เราได้มาตั้งแต่อดีตชาติหรือเผ่าพันธุ์ หรือมีจิตสำนึกดีได้มาตามเผ่าพันธุ์ ในที่สุดความดีความไม่ดีมันก็ได้มาเหมือนกัน แต่สิ่งที่เป็นที่ดี เราได้รับจากการอบรมสั่งสอนจากคนในครอบครัวเป็นที่แรก เพราะคนเราเกิดมาคือมีพ่อมีแม่เหมือนกัน หรือเกิดมาเพื่อไปอยู่กับบุคคลอื่น หรือเกิดมาเพื่อได้รับในสิ่งที่ไม่ใช่ครอบครัว อันนั้นก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะว่าสิ่งนั้นคือเราได้ใช้ชีวิตของตัวเราเองล้านเปอร์เซ็นต์ โดยที่เราจะกำหนดตัวเราเอง สิ่งแวดล้อมเป็นคนสอน คนอื่นเป็นคนสอนในสิ่งที่ดีงาม แต่สิ่งที่เราเลือกคือด้วยตัวเราล้วน ๆ คนที่มีครอบครัวอยู่กับพ่อแม่จะมี 1. ความอุดมความสมบูรณ์คือมีพ่อมีแม่ 2. ความหล่อหลอมความรักจากคนอื่นมันเกินมันล้นบางที แล้วสิ่งที่คนทั้งโลกเหมือนกันข้อสุดท้ายคือความรัก คนทั้งโลกที่ดำเนินชีวิตอยู่ทุกวันนี้ก็เพื่อความรัก

 

Host: ยังไงคะแม่

 

คุณแม่แก้ว: ถ้าไม่มีความรักความอบอุ่นมันก็ไม่เกิดการให้ ไม่เกิดความอยากให้ รักเฉย ๆ ไม่ให้มันรักยังไง แม้แต่เรารักตัวเราเองเรายังไม่ให้อะไรกับตัวเราเองเลย นั่นเรารักแบบไหน เราต้องไปค้นหาตัวเราเอง เรารักตัวเราหรือเรารักคนอื่น รักพี่ รักน้อง รักคนอื่นที่ใกล้ตัวเราที่สุดคือพ่อแม่ นอกเหนือจากชีวิตเรา แต่พ่อแม่คือผู้ให้ลมหายใจ ให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ให้ความดี สอนปลูกฝังทุกสิ่งทุกอย่างที่ดีเพื่อให้เราจะได้แสวงในสิ่งที่ดีงาม ความดีทั้งหลายในโลกนี้พ่อแม่สอนให้เราแสวงเอา อยากได้ดีก็ทำเอา ถ้าไม่อยากได้ดีก็เฉย ๆ

 

Host: ตอนที่แยกแยะดีกับไม่ดี แม่สอนแบรี่ยังไง 

 

คุณแม่แก้ว: แม่ก็จะเล่าให้เขาฟังตั้งแต่เด็ก ๆ ให้ลูกเล่าให้ฟังว่าบรรยากาศวันนี้ไปโรงเรียนเป็นยังไง เราอยากรู้ความในใจของลูก ไม่ใช่อยากรู้พฤติกรรมนะ วิธีคิด การพูด การกระทำของเขามันด้วยใจไหม ทำอะไรถ้าไม่ทำด้วยใจมันจะไม่เต็มที่ จะแค่ทำแค่ได้ทำ มันจะไม่ต่อเนื่อง ถ้าเราทำอะไรด้วยใจมันจะเป็นอะไรที่ต่อเนื่องและเกิดความเคยชิน มันจะอยู่ข้างใน เพราะฉะนั้น เราต้องมีตำนานให้กับตัวเอง ต้องสร้างตำนานให้กับตัวเอง ตำนานของเราอาจจะไม่หรูหราฟู่ฟ่าหรือโรแมนติก หรือตำนานของเราอาจจะอยู่แต่กับความทุกข์ แต่ความทุกข์นั่นแหละคือปัญญาให้เราสร้างความทุกข์นั้นให้เป็นความสุขโดยที่ไม่เบียดเบียนคนอื่น แต่เบียดเบียนตนหน่อยคือพยายาม ฝึกฝน อดกลั้น อดทน อดออม 

 

การที่เราจะทำอะไรให้สำเร็จไม่ใช่แค่เราคนเดียว เราเป็นความคิดผู้ทำของเราเองก็จริง แต่ว่าโอกาสมันเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถ้าเรามีโอกาสในสิ่งที่ทำดีแต่เราไม่มีความคิดที่อยากจะทำให้มันต่อเนื่องมันก็จะหยุดแค่นั้น แล้วเราก็จะไม่สามารถรู้จักคำว่าให้ คำว่าแบ่งปัน การแชร์ในสิ่งที่ดี ๆ ออกสู่คนอื่น ปัญญาของเราจะเกิดประโยชน์ก็ต่อเมื่อมีการใช้ เหมือนเราเรียนรู้อะไรสักอย่างหนึ่ง เช่น เรียนทำอาหาร เล่นกอล์ฟ เล่นกีฬาหรือเรียนอะไรก็แล้วแต่ ถ้าเราไม่ได้เล่น ไม่ได้ใช้ ไม่ได้ทำจริง ความชำนาญหรือความชอบมันก็จะหายไปทันที

 

Host: แล้วตัวแบรี่เองเขาเป็นยังไงบ้าง ตอนเด็ก ๆ เขาซนไหมคะ

 

คุณแม่แก้ว: น้องเขาเป็นเด็กที่อยากรู้อยากเห็น เป็นเด็กซนมากกว่าที่จะดื้อ ในความคิดของแม่นะ แล้วแม่ก็ชอบ แต่คำว่าเด็กดื้อแม่ชอบนะเพราะว่าเราจะได้รู้การแสดงออกของเขา พฤติกรรมของเขาว่าการแสดงออกของเขาไปในทางไหนมากว่าระหว่างดีกับไม่ดี เราก็จะได้ส่งเสริมในสิ่งที่เขามี ถ้าดีก็จะส่งเสริมเขาให้โตขึ้น ให้ได้รับในสิ่งที่เขาต้องการมากขึ้น แต่ถ้าเขาแสดงออกในสิ่งที่ไม่ดี สิ่งนี้เราต้องมาคุยกับเขาว่า ทำออกไปรู้สึกอย่างไร ทำไมถึงทำแบบนี้ ถ้าตอบว่า “ทำเฉย ๆ ไม่มีอะไรทำ” นั่นก็หมายถึงว่าความบริสุทธิ์ของเขา เขาแสดงออกไปด้วยความใสสะอาด ซึ่งอันนี้อันตรายมาก เราต้องรีบอบรม รีบทำให้เขามีความรู้สึกอยากทำในสิ่งที่ดีแล้วไม่ดีได้

 

Host: คือให้เขารู้ว่าทำไมทำแบบนี้ เพราะอะไร มันต้องมีเหตุผล

 

คุณแม่แก้ว: ใช่ มันต้องมีเหตุผล เขาจะได้รู้ว่า อ่อ..แบบนี้มันไม่ดีหรือครับ สมมุติว่าซื้อจักรยานมาแล้วแม่จับให้ แต่ลูกอยากโชว์ออฟ อยากปั่นเอง ไม่อยากให้จับ แต่ปรากฎว่าจักรยานล้มแล้วพอแม่เผลอ แม่หันมองซ้ายมองขวาแล้วไปเห็นเขาเอาเท้ามากระทืบ ๆ โทษจักรยานว่า จักรยานมันไม่ดี ทำให้เราล้ม แม่ก็แอบดู เราก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วเขาก็มาสารภาพว่า “แม่ครับสารภาพผิดครับ” อ้าวลูกทำอะไรทำไมถึงรู้ว่าผิดล่ะ “ผมเอาเท้ากระทืบจักรยาน รู้สึกว่าไม่ดี รู้สึกสงสารจักรายาน เพราะแบรี่ทำเอง จักรยานไม่ได้ทำ” แล้วหนูทำยังไงล่ะลูก “หนูคิดว่าทำได้ ปั่นโดยไม่มีแม่จับให้” อยากลองเองโดยที่ไม่ถาม แม่ก็ชมว่าเก่งมากครับที่ยอมรับในสิ่งที่เป็นความจริงที่ออกจากใจ

 

ที่บ้านแม่ก็จะมีกฎสำหรับลูกคือ วันจันทร์-ศุกร์ลูกเรียน ลูกมีอาชีพเป็นนักเรียน ต้องรับผิดชอบ แม่ให้ตังค์ไป ลูกจะเก็บหรือไม่เก็บก็ได้ หรือลูกอยากฝึกเก็บก็แล้วแต่ จะใช้หมดหรือไม่หมดก็ได้ แม่ให้อิสระ แล้วถ้าไม่ใช้จะทำยังไง เขาบอกว่าอยากได้กระป๋องออมสิน แล้วก็พากันไปซื้อ แล้วก็แข่งกันกับพี่ชายหยอดกระปุกออมสินกัน เมื่อเขามีอาชีพเป็นนักเรียนจะต้องทำอะไรบ้าง

 

Host: ต้องทำอะไรบ้างคะแม่

 

คุณแม่แก้ว: อาชีพนักเรียนก็ต้อง อันดับแรกคือต้องตั้งเรียนใจ แล้วจะเชื่อหรือไม่เชื่อครูบาอาจารย์ถ้าเราตั้งใจเป็นเหตุเป็นผล ถ้าครูสอนแล้วเป็นเหตุเป็นผล แล้วสามารถพิสูจน์ให้เราเห็นได้ รู้ได้ในสิ่งนั้น เราต้องเชื่อครูบาอาจารย์เพราะท่านเป็นคนนำทางเรา ต้องเคารพ ต้องให้เกียรติ ความเป็นนักเรียนนอกจากพ่อแม่แล้วต้องเคารพครูบาอาจารย์ ซึ่งโรงเรียนก็เป็นเหมือนบ้านหลังที่สอง ครูบาอาจารย์ก็เป็นเหมือนพ่อแม่คนที่สองของเราเหมือนกัน เพราะอาจารย์เป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้เรา เราต้องเคารพศรัทธา 

 

แต่ในสิ่งที่เราอยากถาม สงสัย ถ้าเราอยากถามเราก็ถามได้ ไม่มีครูคนไหนที่ไม่เปิดโอกาสให้ลูกศิษย์ถาม เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบคือการบ้าน แม่จะได้ไม่ต้องมาพูดบอกอย่างนี้นะ อย่างนี้ ๆ ชอบไหม ถึงเวลาแล้วแม่ต้องบอกอย่างนี้เอาไหม เขาบอกว่าไม่เอา แล้วถ้าการบ้านไม่เสร็จหลังเลิกเรียน กีฬาก็ไม่ได้เล่น เพราะถ้าอยากเล่นกีฬา เวลาว่างอยู่โรงเรียนหนูต้องทำการบ้าน รีบ ๆ ทำไปเลย เพราะเด็กในวัยนั้นมันฉลาด เป็นวัยที่กระตือรือร้นแต่ขาดความรับผิดชอบ ขาดวินัย เราจะต้องรู้หน้าที่ เพราะนักเรียนก็เป็นอาชีพหนึ่ง ได้เงินเดือนจากพ่อแม่ 5 บาท 10 บาท ก็ถือว่าเป็นเงินเดือน

 

Host: แม่สอนตั้งแต่เด็กเลยนะให้รู้จักรับผิดชอบ

 

คุณแม่แก้ว: ใช่ค่ะ ตอนเป็นเด็กแม่เอาแบงค์ 20 แบงค์ 10 ให้ แล้วแต่ว่าจะจับเอา เหรียญ 5 เหรียญ 10 ให้เขาเลือกเอง บางทีก็บอกว่าแม่วันนี้ไม่มีอะไร คือลูกเขาเป็นโรคหอบจะทานของเย็นไม่ได้ ขนมก็ต้องเลือกทาน อะไรก็ต้องเลือก บางทีเขาก็หยิบไป 5 บาท บางทีก็ 10 บาท

 

Host: เขาบอกไหมคะว่าทำไมแต่ละวันถึงเลือกไม่เหมือนกัน

 

คุณแม่แก้ว: เขาคิดว่าไม่ได้ซื้ออะไร เอาไปเฉย ๆ อย่างตอนอนุบาล พอโตขึ้นป.1 เขาก็บอกแม่ว่าอยากได้วันละ 20 ก็เอาไปใส่กระปุกออมสินแข่งกันกับพี่อะไรอย่างนี้ ก็คิดว่าความตั้งใจเรียน เคารพครูบาอาจารย์ แล้วก็ไม่ลืมทดแทนในสิ่งที่เราได้รับวิชาจากครูมา ไม่ว่าจะเป็นการที่ครูช่วยสอนหรืออะไรก็ตาม คำว่าครูเป็นสิ่งที่เราควรเคารพบูชาที่รองจากพ่อแม่เรา แล้วเขาก็จะจำเราก็พาเขาทำ ก็จะเป็นอย่างนั้น

 

ทำการบ้านหลังจากที่แม่ไปรับก็จะบอกว่าแม่ขอ 20 นาที จะต่อด้วยอะไร จะเล่นอะไร เขาจะแจ้งก่อนตั้งแต่ตอนกลางคืนของวันก่อน เช่น จะเล่นฟุตบอล แม่ก็เตรียมชุดไปให้ แล้วทำอาหารไปให้ด้วย ในเรื่องของกีฬา น้องจะเล่นกอล์ฟ เทนนิสก็จะเล่น ๆ หยุด ๆ มันไม่ตรงกับโรคหอบ มันต้องกระโดด ๆ เต้น ๆ หยุด เขาก็เล่นพอแค่สนุกได้ออกกำลังกาย ถ้าไม่ไหวก็หยุดแล้วก็เดินอ้อมสนาม แบตมินตันก็เล่นบ้างแต่ไม่เท่ากอล์ฟ แต่หลัก ๆ แล้วก็คือว่ายน้ำ อันนี้ดีกับปอด ท่าผีเสื้อก็จะช่วยบริหารปอด

 

แม่ต้องศึกษาในเรื่องของสมองด้วย เพราะโรคหอบต้องไปอยู่โรงพยาบาลบ่อย แล้วก็เรียนไม่ทันเพื่อน แม่ก็จะหาเรื่องของอาหาร แม่เชื่อเรื่องพลังงาน พลังงานจากอาหาร พลังงานของเราที่อยู่ภายใต้จักรวาล นอกจากเราได้รับภายใต้จักรวาลแล้ว เรายังได้รับพลังงานจากอาหาร ต้นไม้ ธรรมชาติ แร่ธาตุทั้งหลาย ดินที่เราเหยียบก็ได้พลังงาน แม่ก็ศึกษาเรื่องของวิตามิน อาหารของน้อง แม่ทำเองทุกอย่าง แล้วก็คลื่นสมองของเด็ก เขาไม่ให้นอนหลัง 2 ทุ่ม เพราะคลื่นสมองมันจะห่างเรื่อย ๆ ถ้าห่างหน่วยความจำจะน้อย เพราะฉะนั้นเราต้องสร้างอาหารที่ทำให้ช่วยบำรุงสมอง ให้คลื่นสมองถี่เยอะ ๆ นอนพักผ่อนให้เพียงพอ คือห้ามนอนหลังจาก 2 ทุ่ม จะทานช็อคโกแลตตอน 1 ทุ่ม จะทำให้นอนหลับสบาย

 

Host: แม่รู้เยอะนะ ทำไมแม่แก้วถึงศึกษาอะไรพวกนี้เยอะคะ

 

คุณแม่แก้ว: เพราะว่าแม่สงสารลูก ลูกเป็นหอบ มันเป็นโรคที่ทรมาน ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยมันไม่บอกเวลา อากาศร้อน อากาศหนาว ฝุ่นเยอะ คนแออัด หรือไปสถานที่อะไรก็แล้วแต่ ซึ่งต้องพกยาตลอด แต่เราก็หาว่าอะไรที่ดีที่สุดกว่ายาควบคู่กันไป เพราะยามันก็มีสเตียรอยทำให้กดความสูง เพื่อนเขาสูงไปหมดแล้ว น้องนี่กินยาตั้งแต่เด็ก ๆ ช่วง 11 12 13 ปีนี่แม่ให้กินนมแทนน้ำเลย ให้โครงสร้างสูงแล้วเล่นกีฬา ช่วง 6 โมงเช้า น้องตื่นทุกวันไปเดินรอบบึงแก่นนคร เดินเสร็จครึ่งชั่วโมง แล้วอีก 10 นาทีปีนต้นตะขบ น้องชอบปีนต้นตะขบ ลูกมันอร่อย หลังจากนั้นก็มาหายใจ 5 นาที หายใจเข้าไปลึก ๆ สูดลมหายใจแล้วก็ผ่อนออกให้สุด 5 ครั้ง

 

Host: ในตอนนั้น ณเดชน์ มีอาชีพเป็นนักเรียน แม่ก็มีอาชีพแม่เลยนะ

 

คุณแม่แก้ว: ก็สงสารลูกค่ะ ถ้าบ้านไหนที่มีลูกเป็นโรคหอบจะเข้าใจลูกเลยนะว่ามันทรมาน ลมหายใจเราก็เหมือนลมหายใจของลูก ลูกหายใจไม่ออก แม่ก็ฝืด ก็เจ็บไปด้วย เพราะฉะนั้นเราก็ต้องสรรหาอะไรก็ได้ที่ทำให้ลูกเบาลง ผ่อนคลายลง แล้วเขาถึงเป็นคนอารมณ์ดีเพราะเขากินอาหารดี อารมณ์ดี มองโลกในแง่ดีและก็อยู่กับธรรมชาติ ทำตัวให้อยู่กับธรรมชาติ ธรรมชาติที่สำคัญคือธรรมชาติที่อยู่กับตัวเรา เพราะเราจะต้องก้าวต่อไป แต่ธรรมชาติของธรรมชาติเขาเรียกว่าสิ่งแวดล้อม เพราะฉะนั้นสิ่งแวดล้อมภายในบ้านก็ดี ข้างนอกก็ดีเราก็ต้องเลือก เลือกที่จะไป เลือกที่จะขลุกอยู่ตรงที่ว่ามันดี น้องก็จะเลือกอยู่ที่วัด อยู่ที่สถานที่ช่วยเหลือแบ่งปัน ทำบุญ อะไรแบบนี้ เขาก็จะไป แล้วเขาได้รู้สึกว่าทั้ง ๆ ที่เขามีโรคประจำตัวก็ยังแบ่งปันได้ในสิ่งที่เขาทำได้

 

Host: เคยมีช่วงเวลาที่ต้องผ่านทุกข์กันลูกไหมคะ อย่างเวลาที่ลูกป่วย

 

คุณแม่แก้ว: มันก็มีนะคะ เวลาที่ลูกป่วยแม่แทบจะร้องไห้ มันมีเวลาความเป็นส่วนตัวของลูกคือเสาร์-อาทิตย์นะคะ มันเป็นวันหยุด แต่ว่าบ้านแม่ก็จะตั้งหลักปฎิบัติต่อเนื่องมาเป็นเวลายาวนานจนปัจจุบัน ก็คือวันเสาร์เป็นวันฟรีเดย์ วันของลูก ลูกอยากไปไหน อยากทำอะไร ทำให้ลูก พาลูกไป เขาก็จะวางแผนเสาร์นี้เขาอยากไปไหน อยากไปบ้านเพื่อน พอวันศุกร์เขาก็จะบอกแม่เสาร์นี้นัดกับเพื่อนไปเล่น วันนี้ไม่มีการบ้านเยอะก็อยากไปเล่นแบบเด็ก ๆ ดูหนังฟังเพลงแบบเด็กผู้ชาย ๆ แม่ก็จะไปส่ง พอส่งแล้วก็ถามว่าอยากจะให้แม่รอไหม เขาก็บอกรอครับ บางทีก็รอแต่บางทีแม่ก็ต้องไปทำงานด้วยเพราะแม่ก็เปิดบริษัทด้วยนะ งั้นขอ 1 ชั่งโมงครับถ้าไม่รอ เรื่องเวลารับก็จะตรงเวลา ถ้าเขาติดพัน ให้โทรบอก เลื่อนได้แต่ต้องบอกเหตุผลจริง ไม่โกหก ขอเป็นขอนะ แต่ถ้าบอกว่าอีกครึ่งชั่วโมงปุ๊ป แม่จอดรถหน้าบ้านทันที ต้องตรงเวลา

 

Host: อืม ต้องตรงเวลาเนอะ มีวินัยเหมือนป๊าเลย

 

คุณแม่แก้ว: ใช่ค่ะ ต้องตรงเวลาทันที เพราะแม่มีภารกิจมากมาย ดูแลน้อง ดูแลคุณยาย ไหนจะงานบริษัท ดูแลธุรกิจ อาหารของลูกอีก แล้วแม่ก็ทำงานส่วนตัวของแม่อีก แม่ก็มีเปิดร้านเย็บผ้าอีก เอาไปทำที่ออฟฟิสด้วย งก (หัวเราะ) ไม่อยากทิ้งเวลาเพราะเรารู้ว่า เราทำได้ นอนตี 1 ตี 2 ก็ส่งลูกนอนก่อน นั่นวันเสาร์วันของลูก พอวันอาทิตย์ถือว่าเป็นวันแฟมิลี่ของทุกคนในครอบครัว ไปไหนไปกัน 

 

แต่กฎที่แน่ ๆ ก็คือเราจะทานอาหารเช้าเสร็จช่วง 9 โมงพอดี เราก็จะให้ลูกรีแลกซ์ทำโน่นนี่ แล้วเราก็จะไปสวดมนต์เช้ากันที่ห้องพระ ลูกจะเอากี่ชั่วโมง 40 นาทีก็ได้ครับ ก็สวดมนต์นั่งสมาธิ นั่งบ้าง ไม่นั่งบ้างก็จะเหล่ตาดู ไม่ว่ากัน แต่ให้ทำ เวลาคุยกันก็ให้คุยได้ว่ามีอะไร รู้สึกอย่างไร นั่งสมาธิแล้วเป็นอย่างไรคุยกับแม่ได้ มีลูก 2 คน อีกหนึ่งโตกว่า 3 ปี ลูกน้องสาวเหมือนกันชื่อน้องบี๊ท พี่บั๊ทจะนิ่งสมาธิดีมาก แต่น้องแบรี่จะซุกซนอยากรู้ยากเห็น ก็เป็นไฮเปอร์ใช่ไหมก็จะอยู่ไม่นิ่ง จะเหล่ตามองพี่ สะกิดพี่ คือเด็กเขาไม่ชอบนะแต่เขาก็ไม่เก็บกด เขาอยากทำเขาก็ทำ พอไม่มีใครยุ่งกับเขา เขาก็หลับตา อันนี้ธรรมชาติของเด็กซึ่งผู้ใหญ่ก็เป็น ถ้าพูดอยู่กับเพื่อน ๆ พูด ๆ ไม่มีใครสนใจก็จะนิ่ง ๆ

 

Host: อะไรที่ทำให้บ้านแม่นั่งสมาธิ สวดมนต์ สอนลูกตั้งแต่เด็กคะ

 

คุณแม่แก้ว: แม่คิดว่าแม่ทำมาตั้งแต่อยู่กับคุณยาย คุณยายก็พาไปวัด พอโตขึ้นก็ยังอยู่กับคุณยาย คิดว่าวัดเป็นที่ที่สงบที่สุดเพราะเราอยู่บ้านนอก อะไรก็ไปที่วัด ไม่สบายใจ ไม่สบายกาย อยากทำบุญก็ไปที่วัด วัดก็เลยเป็นศูนย์รวมของจิตใจของคนดีทั้งหลายที่คิดดีทั้งหลาย คิดดีมีการให้ เพราะศาสนาพุทธเขาสอนให้แบ่งปันให้เมตตากัน มีพลังงานดี ๆ เราก็เลยได้ส่วนนั้นมา อีกอย่างหนึ่งคือสถานที่ที่จะไปในวันอาทิตย์ เราก็จะตกลงกันว่าจะไปไหน อันดับหนึ่งไปไหน อันดับสองไปไหน ลูกก็จะบอกว่า “แม่อยากไปล้างห้องน้ำที่วัด” เพราะเขาชอบเล่นน้ำไง เด็กได้เล่นน้ำแล้วเขามีเพื่อนก็นัดเพื่อนกันมาตั้งแต่วันศุกร์ ก็ไปรับเพื่อนสี่ห้าคน เด็ก ๆ ได้เล่นน้ำก็จะมีชีวิตที่อยู่กับธรรมชาติที่เขาอยากทำ อยู่กับความเย็น เพราะวัดก็สงบร่มเย็น น้ำก็เย็น ล้างห้องน้ำเหม็นก็ไม่เป็นไร เหม็นเดี๋ยวก็หอม ได้ทำความสะอาด สนุกสนาน อันนี้ก็ทำให้รู้สึกว่าไปแล้วดี ไปแล้วมีความสุข กวาดลานวัด ทำความสะอาดเมรุเผาศพ กลัวผีแต่ทำได้ อยู่คนเดียวก็ทำได้ แล้วก็กลับบ้านทานข้าว ก็จบภารกิจในวันอาทิตย์ ซึ่งถ้าไม่ไปต่างจังหวัดก็จะเป็นลักษณะนี้

 

 

 

 

 

 

 

 

ผู้ดำเนินรายการ:  คุณแม่แก้ว สุดารัตน์ คูกิมิยะ / สุรางคณา สุนทรพนาเวศ

บรรณาธิการ:  นันทิญา จิตตโสภาวดี

กองบรรณาธิการ: นมิดา แพ่งสภา, ปัณณธร ใสแสง, รุจา สุขพัฒน์, นีรชา คัมภิรานนท์, สุสมา สุขพัฒน์

ศิลปกรรม:  ฐานิสร์  ริ้วสุวรรณ, เอกชัย เธียรสรรชัย
นักออกแบบเสียง:  ธัญธนวรัท  ชนกชัด

ฝ่ายผลิต: ชลธิศ กรดี

ที่ปรึกษา:  วันชัย  บุญประชา, ดร.สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน

สนับสนุนโดย  สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

 

 

 

OTHER